ตำรวจรวบ อดีตเภสัช เจ้าของสูตรยาลดอ้วนมรณะ พร้อมแม่ เจ้าของโรงงานผลิต

ตำรวจรวบ อดีตเภสัช เจ้าของสูตรยาลดอ้วนมรณะ พร้อมแม่ เจ้าของโรงงานผลิต

วานนี้ (19 ก.ค.) ตำรวจกาฬสินธุ์รวบตัว น.ส.จิณณะ นิชคุณมั่น หรือ เดียร์ อายุ 31 ปี อดีตเภสัชกร เจ้าของคลินิกโอบีแคร์ ในจ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นเจ้าของสูตรยาลดความอ้วนมรณะที่คร่าชีวิตแม่ลูกอ่อนเมื่อไม่นานมานี้

โดยตำรวจได้จับกุมแม่ของน.ส.จิณณะ ด้วย คือนางวสภัสสร สุลำนาจ อายุ 52 ปี 

เจ้าของบริษัท ดี.ดี.คอสเมด จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานผลิตยาลดความอ้วนและอาหารเสริมปลอม หลังหลบหนีออกจากพื้นที่ อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ ไปพักอยู่ที่บ้านพักไม่มีเลขที่ หมู่บ้านบึงกาฬวิลล่า จ.บึงกาฬ และคาดว่ากำลังเตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ

ก่อนจะสามารถจับกุมแม่ลูกคู่นี้ได้ ตำรวจได้รวบตัวนายกฤชกร บุตรวิเศษ หรือต่อ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของนางวสภัสสร ได้ที่หน้าโกดัง บ้านเลขที่ ม.204 ต.สงเปลือย อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ พร้อมกับเข้าจับกุมตัว นายธนกร เลิศสงคราม อายุ 26 ปี ลูกชายนางวสภัสสร ซึ่งก็คือน้องชายของ น.ส.จิณณะ ได้ที่หน้าร้านโรมัน เรสเตอรอง จ.ขอนแก่น

นางวสภัสสร ให้การรับสารภาพว่า โรงงานดังกล่าว มีนางสาวจิณณะ หรือเดียร์ นิชคุณมั่น ลูกสาว นายธนากร หรือดาฟ เลิศสงคราม ลูกชาย ร่วมเป็นหุ้นส่วน และมีนายกฤชกร หรือต่อ บุตรวิเศษ สามีของตนร่วมดำเนินการ ส่วนไซบูตามีนของกลาง ติดต่อสั่งซื้อจากนายธวัชชัย ผาสุขศรี

จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่พบว่ามีการโอนเงินจากบัญชีของนางวสภัสสรไปยังบัญชีนายธนากร 117 ครั้ง เป็นเงิน 7,165,000 บาท มีการโอนเงินจากบัญชี นายธนากรไปยังบัญชีของนางวสภัสสร 30 ครั้ง เป็นเงิน 1,170,000 บาท โอนเงินจากบัญชี ของนางสาวจิณณะ ไปยังบัญชีของนางวสภัสสร จำนวน 79 ครั้ง เป็นเงิน 6,196,117 บาท โอนเงินจากบัญชีนางวสภัสสรไปยังบัญชีนายธวัชชัยจำนวน 79 ครั้ง เป็นเงิน 3,142,395 บาท โอนเงินจากบัญชีนายธวัชชัยไปยังบัญชีของนายอภิชาติ สืบศรี จำนวน 8 ครั้งเป็นเงิน 938,000 บาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจได้เข้าตรวจสอบบริษัท ดีดี คอสเมด จำกัด เลขที่ 65 หมู่ 7 ต.สงเปือย อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งตั้งเป็นโรงงานผลิตยาลดความอ้วนนี้ และพบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต 15 เครื่อง ผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วนและสารไซบูตามีน

นางวสภัสสร โดนแจ้งข้อหาผลิตและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, ก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต, ผลิตและจำหน่ายอาหารปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตและขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนลูกสาว อดีตเภสัชกร ลูกชาย และแฟนหนุ่ม โดนข้อหา ร่วมกันผลิตและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันผลิตและจำหน่ายอาหารปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต  และร่วมกันผลิต มีไว้ในความครอบครองเพื่อขายและขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 1 (ไซบูตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต

ม.มหาสารคาม ชี้ เขื่อนไซยะบุรีทำแม่น้ำโขงแล้ง สัตว์น้ำแห้งตายคาโขดหิน

วานนี้ (19 ก.ค.) ได้มีการเผยแพร่โพสต์ของอ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา (สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่กล่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติทางนิเวศวิทยาลุ่มน้ำโขงครั้งร้ายแรง หลังมีการสร้างเขื่อนไซยะบุรีและการทดสอบผลิตไฟฟ้า ทำให้แม่น้ำโขงแห้ง และสัตว์น้ำตายเกลื่อน

โดยอ.ดร.ไชยณรงค์ ระบุว่า วิกฤตินี้เห็นได้ชัดเจนที่สุดในพื้นที่บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย ขณะที่อีกหลายพื้นที่ก็แห้งผากราวทะเลทราย พบว่าตามซอกหินที่ปกติอยู่ใต้น้ำนั้น กลายเป็นสุสานของเหล่าสัตว์น้ำที่แห้งขอด ประกอบกับความร้อนระอุที่สะสมในแก่งหินเหล่านี้ ทำให้สัตว์เหล่านั้นสุกจนดูเหมือนถูกย่างบนเตา ส่วนปลาก็ถูกล่าจับเพราะน้ำตื้นเขิน แม้แต่ตะไคร่ก็เหลือแต่ซาก เห็นกิ่งก้านแห้งๆ ชี้ขึ้นฟ้าให้แดดเผา

ปกติแล้ว ลำน้ำโขงที่บ้านม่วงนี้ จะมีน้ำเต็ม มีตะไคร่เขียวใต้น้ำให้ปลาวางไข่ และมีผลกับใบเป็นอาหารของปลา ส่วนแก่งหินก็จะเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของสัตว์น้ำอย่าง กุ้ง แต่เมื่อน้ำแห้งขอดลง ระบบนิเวศทั้งหมดเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปด้วย

อ.ดร.ไชยณรงค์ กล่าวว่าสิ้งที่เกิดขึ้นเป็นการฆาตกรรมสรรพชีวิต และเป็นเพียงปฐมบทของการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่กั้นลำแม่น้ำโขงสายหลักแห่งแรก เพราะในเดือนตุลาคมปีนี้ เขื่อนแห่งนี้จะผลิตกระแสไฟฟ้าเต็มกำลัง นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า แม้เขื่อนไซยะบุรีจะเป็นโครงการเขื่อนในประเทศลาวแต่สร้างโดยทุนไทย ได้เงินกู้จากสถาบันการเงินไทยถึง 6 แห่ง อีกทั้งยังจะส่งไฟฟ้าถึง 95% มาขายในประเทศไทยด้วย

ส่วนค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผ้าหุ้มเก้าอี้พนักงาน จำนวน 13,209 บาท ก็ไม่มีหลักฐานการชำระเงิน คงมีเฉพาะส่วนที่จำเลยทั้ง6ได้นำสืบยอมรับค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 50,414 บาท ดังนั้นศาลจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 57,500 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ศาลเห็นควรกำหนดค่าเสียหายจำนวน 9 ล้านบาท

credit : lesalternatifsdefranchecomte.com lescreasdefanfan.com mantasdemudanzas.com marybethharrellforcongress.com miamidolphinsdailynews.com michaelkorsbay.org milkcantheatre.org nessendyl.net newyorklovesmountains.org